On-device AI คืออะไร? เมื่อ AI ทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

On Device AI

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาด้วยเสียง กล้องถ่ายรูปอัจฉริยะ หรือการแนะนำคอนเทนต์ที่เราชอบ แต่เบื้องหลังความฉลาดเหล่านี้ ส่วนใหญ่อาศัยการประมวลผลผ่าน “คลาวด์” ซึ่งหมายถึงการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ของเราขึ้นไปยังเซิร์ฟเวอร์กลาง แล้วรอผลลัพธ์กลับมา แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวโน้มใหม่ที่กำลังมาแรงคือ On-device AI หรือ “AI ที่ทำงานอยู่ในตัวอุปกรณ์โดยตรง” โดยไม่ต้องส่งข้อมูลออกไปยังคลาวด์อีกต่อไป

On-device AI มีข้อดีคือสามารถตอบสนองได้รวดเร็วกว่า ไม่มีความล่าช้าในการส่งข้อมูลไป-กลับจากเซิร์ฟเวอร์ การสั่งการด้วยเสียง หรือการประมวลผลภาพจึงเป็นไปแบบเรียลไทม์, เพิ่มความเป็นส่วนตัว ข้อมูลของผู้ใช้ เช่น เสียง หน้าตา หรือสุขภาพ จะไม่ถูกส่งออกจากอุปกรณ์ ทำให้ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย, ทำงานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต On-device AI ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับเครือข่าย จึงเหมาะกับอุปกรณ์พกพา หรือในสถานการณ์ที่เน็ตไม่เสถียร, ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายระยะยาว การประมวลผลภายในอุปกรณ์ช่วยลดภาระของคลาวด์และลดการใช้แบนด์วิดท์

อุปกรณ์ที่รองรับ On-device AI มักจะมีชิปเฉพาะทาง เช่น NPU (Neural Processing Unit) เช่น Apple Neural Engine, Samsung NPU, หรือ MediaTek APU, DSP (Digital Signal Processor) สำหรับประมวลผลเสียง/ภาพแบบรวดเร็ว, Microcontroller AI ในอุปกรณ์ IoT ที่มีขนาดเล็ก เช่น STM32, Ambiq, หรือ ESP32-S3 ที่สามารถรัน TinyML ได้

ตัวอย่างการใช้งานจริงของ On-device AI มีหลายกรณีที่เห็นได้ชัดเจนในชีวิตประจำวันและภาคอุตสาหกรรม เช่น

  • สมาร์ทโฟน
    • Face Unlock / Face ID – การจดจำใบหน้าแบบเรียลไทม์
    • Voice Assistant – เช่น Google Assistant, Siri ที่สั่งงานและตอบโต้บางคำสั่งโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    • Live Caption / Translation – แปลข้อความเสียงแบบเรียลไทม์จากวิดีโอ
  • กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (Smart CCTV)
    • การตรวจจับบุคคล/ใบหน้า/รถยนต์ – แจ้งเตือนเมื่อมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
    • การจำแนกวัตถุ (Object Detection) – เพื่อระบุเหตุการณ์สำคัญ เช่น ทิ้งของผิดที่ หรือบุกรุก
  • อุปกรณ์ IoT และอุตสาหกรรม
    • การวิเคราะห์เสียงเครื่องจักร – ตรวจจับความผิดปกติของมอเตอร์หรือเครื่องจักรจากเสียงสั่นสะเทือน (เช่น บน MCU หรือ Edge AI module)
    • ระบบ Smart Agriculture – วิเคราะห์ภาพใบไม้เพื่อหาศัตรูพืชหรือโรค โดยใช้กล้องกับโมเดล TinyML
  • รถยนต์อัจฉริยะ / ADAS
    • ระบบเตือนการออกนอกเลน / ตรวจจับคนเดินถนน – ใช้ AI ทำงานบนชิปประมวลผลภายในรถ
    • ระบบสั่งงานด้วยเสียงภายในรถ – ไม่ต้องใช้ Cloud
  • อุปกรณ์สวมใส่ (Wearables)
    • การวิเคราะห์ท่าทางการเคลื่อนไหว – บนสมาร์ทวอช เช่น ตรวจจับการล้ม
    • การคำนวณสุขภาพหัวใจ / ความเครียด – บนชิป low-power อย่าง Ambiq หรือ Cortex-M4/M55
  •  เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
    • กล้องเบบี้มอนิเตอร์/กล้องสัตว์เลี้ยง – วิเคราะห์พฤติกรรมของเด็กหรือสัตว์เลี้ยงแบบออฟไลน์
    • หุ่นยนต์ดูดฝุ่น – ใช้ AI สำหรับวางแผนเส้นทางและหลบสิ่งกีดขวาง
  • ระบบความปลอดภัย
    • Doorbell AI (Video Doorbell) – ตรวจจับว่าเป็นคนหรือสัตว์/สิ่งของ, จำใบหน้าเจ้าของ
    • ระบบล็อกอัจฉริยะ – ตรวจสอบเสียง/ภาพ/ลายนิ้วมือ โดยไม่ส่งข้อมูลขึ้น Cloud

ในอนาคต On-device AI จะมีบทบาทมากขึ้นในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์แบบสวมใส่ (wearable health tech), ยานยนต์อัตโนมัติที่ต้องตัดสินใจรวดเร็วในระดับมิลลิวินาที, IoT ในภาคอุตสาหกรรม (Industrial AI Edge) และที่สำคัญคือ การที่ AI อยู่ในอุปกรณ์ ช่วยให้เราควบคุมและไว้วางใจในเทคโนโลยีได้มากขึ้น เพราะข้อมูลของเราไม่จำเป็นต้องออกจากมือเราอีกต่อไป

Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments
โฆษณา