รีวิว Raspberry Pi 500+ คีย์บอร์ดพีซีแบบ mechanical พร้อม Raspberry Pi OS “Trixie”

j ;หลังจากเปิดตัว Raspberry Pi 500+ คอมพิวเตอร์ในรูปแบบคีย์บอร์ด mechanical มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR4x ขนาด 16GB, SSD NVMe ขนาด 256GB และไฟ RGB และเราได้รับตัวอย่างจาก Raspberry Pi เพื่อมารีวิว ดังนั้นในรีวิวนี้ ฉันจะพูดถึงการแกะกล่องชุดอุปกรณ์ที่ได้รับ การบูตครั้งแรก, ดูข้อมูลระบบ Raspberry Pi 500+, การทดสอบประสิทธิภาพ Benchmarks และระบบระบายความร้อน พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่างกับ Raspberry Pi 500 และทดสอบการใช้งานคีย์บอร์ด mechanical มาพร้อมไฟ RGB

Raspberry Pi 500 plus mechanical keyboard PC review

แกะกล่อง Raspberry Pi 500+

เราได้รับพัสดุที่มีการป้องกันมาอย่างดี โดยด้านบนกล่องบรรจุภัณฑ์ระบุว่าเป็น Raspberry Pi 500+, UK Layout, 16GB RAM, 256GB SSD, สีขาว

Raspberry Pi 500 Mechnical Keyboard Unboxing

ด้านล่างของกล่องมีข้อมูลสเป8และโลโก้ที่ระบุว่าเป็นคีย์บอร์ด Layout “UK ”

Raspberry Pi 500 plus keyboard PC package specifications

ภายในกล่องประกอบด้วย คีย์บอร์ดพีซี Raspberry Pi 500+, เครื่องมือ Spudger สำหรับงัดเปิดเครื่อง, ที่ดึงปุ่มคีย์แคป (Keycap Puller)

Raspberry Pi 500 plus keyboard and Accessories

คีย์บอร์ด key mechanical นี้เป็น UK layout ซึ่งมี 85 ปุ่ม พร้อม สวิตช์ Gateron KS-33 Blue แบบ low-profile สำหรับประเทศไทยยังไม่มี Raspberry Pi 500+ ที่เป็นคีย์บอร์ดภาษาไทย เราแนะนำให้เลือก US Layout 84 ปุ่ม จะดีกว่า) สิ่งที่แตกต่างจาก Raspberry Pi 500 คือ Pi 500 เป็น UK layout keyboard ที่มี 79 ปุ่ม

Raspberry Pi 500 plus UK keyboard layout

ด้านล่างของคีย์บอร์ดไม่มีอะไรพิเศษนอกจากช่องระบายอากาศ และสกูรเพื่อแกะเครื่อง

Raspberry Pi 500 plus bottom

พอร์ตทั้งหมดอยู่ที่แผงด้านหลังจากซ้ายไปขวา: พอร์ต USB 2.0, พอร์ต USB 3.0 สองพอร์ต, ช่องเสียบ microSD card, พอร์ต USB-C สำหรับจ่ายไฟ, พอร์ต micro HDMI 2.0 สองพอร์ต, GPIO header 40 พิน (มีฝาครอบยางป้องกัน), พอร์ต Gigabit Ethernet สิ่งที่แตกต่างจาก Raspberry Pi 500 คือ ไม่มีช่อง Kensington lock

Raspberry Pi 500 plus keyboard rear panel

การแกะเครื่อง Raspberry Pi 500+

เราแกะเครื่อง Raspberry Pi 500+ เพื่อดูข้างในกัน เริ่มจากเปิดฝาคีย์บอร์ด ด้วยการคลายสกรู 5 ตัวด้านล่าง แล้วงัดด้วย Spudger

Spudger opening tool

ต้องเปิดคีย์บอร์ดออกอย่างระมัดระวัง เพราะมีสายแพรเชื่อมระหว่างฝาบนและล่าง และเป็นคีย์บอร์ด mechanical

Raspberry Pi 500 plus teardownเราจะเห็น SSD แบบ NVMe ขนาด 256GB ทันที พร้อมกับแผ่นโลหะขนาดใหญ่ที่ใช้ระบายความร้อนให้กับคอมพิวเตอร์ โดยสังเกตได้ว่าไดรฟ์ NVMe ที่ใช้ในเครื่องตัวอย่างก่อนวางจำหน่ายนั้นมีขนาดเล็กกว่าแบบที่ใช้ในเครื่องรุ่นผลิตจริง แม้ว่าความจุจะเท่ากันก็ตาม

มาตรวจสอบเมนบอร์ดกันอย่างละเอียดดีกว่า

mechanical keyboard PC board
บอร์ด Raspberry Pi 500 R4 (PVT) ที่อยู่ใน Raspberry Pi 500+

เรามาเปรียบเทียบกับบอร์ดที่ใช้ใน Raspberry Pi 500 รุ่นปี 2024 กัน

Raspberry Pi 500 board
บอร์ด Raspberry Pi 500 R4 (PVT) ใน Raspberry Pi 500

ปรากฏว่าทั้งสองเป็นแผงวงจร (PCB) แบบเดียวกันทุกประการ มีรหัสระบุว่า “Raspberry Pi 500 R4 (PVT)” ต่างกันเพียงว่าในรุ่น Pi 500+ จะมีช่อง M.2 socket เพิ่มเข้ามา และใช้คอนเนกเตอร์สำหรับคีย์บอร์ดแบบใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม นอกจากนี้ ไมโครคอนโทรลเลอร์ Raspberry Pi RP2040 ที่ทำหน้าที่ควบคุมคีย์บอร์ด ถูกย้ายจากเมนบอร์ดหลัก (สีเขียว) ไปอยู่บนแผงวงจรของคีย์บอร์ดโดยตรง ส่วนวงจร PoE (Power over Ethernet) ยังไม่ได้ถูกใช้งาน ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะมี รุ่นที่สามของ Pi 500 ที่รองรับ PoE ในอนาคต

การเปลี่ยนจาก Raspberry Pi OS Bookworm เป็น Trixie

ต่อไปเราจะประกอบทุกอย่างกลับเข้าไป และทดสอบ Raspberry Pi 500+ โดยเชื่อมต่อ ดองเกิล RF สำหรับเมาส์ไร้สายเข้ากับพอร์ต USB 2.0 ใช้อะแดปเตอร์ USB ของ Raspberry Pi ขนาด 5V/5A (ไม่มีมาให้ในชุด) และต่อสาย micro HDMI เป็น HDMI เข้ากับจอแสดงผล Raspberry Pi All-in-One ขนาด 10.1 นิ้ว

micro HDMI to HDM USB C portเนื่องจากเราได้รับเครื่องตัวอย่างมาก่อนที่ Raspberry Pi OS (Trixie) ซึ่งพัฒนาบน Debian 13 จะเปิดตัว ระบบจึงบูตเข้าสู่ Debian 12 “Bookworm” ซึ่งสามารถสังเกตได้ทันทีจากภาพพื้นหลัง (wallpaper)

Debian 12 bookworm

เป็นการติดตั้งใหม่โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนใดๆ เราจึงสามารถอัปเกรดเป็น Raspberry Pi OS Trixie ได้โดยใช้คำสั่ง:


แต่นักพัฒนา Debian ไม่แนะนำวิธีนี้ และทาง Raspberry Pi ก็ย้ำคำแนะนำเดียวกัน ดังนั้นเราจึงเลือกวิธีติดตั้งระบบใหม่ทั้งหมดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ microSD card ในการอัปเกรด เราจึงเชื่อมต่อสาย Ethernet เข้ากับ Pi 500+, จากนั้นรีบูตระบบแล้วกด Space เพื่อเข้าสู่ bootloader จากนั้นกด Shift เพื่อเปิดใช้งาน net installer หลังจากนั้นขั้นตอนจะเหมือนกับการติดตั้งผ่าน Raspberry Pi Imager ทุกประการ เพียงแต่ไม่ต้องใช้ microSD card และระบบ Raspberry Pi OS Trixie จะถูกติดตั้งลงใน SSD โดยตรง

Debian 13 Trixie

ข้อมูลระบบ Raspberry Pi 500+, การทดสอบประสิทธิภาพ Benchmarks และระบบระบายความร้อน

ตอนนี้เราพร้อมที่จะทำการทดสอบเพิ่มเติม เนื่องจาก Raspberry Pi 500 และ Raspberry Pi 500+ ใชิป Broadcom BCM2712 รุ่นเดียวกัน ทำให้คุณสมบัติและประสิทธิภาพโดยรวมใกล้เคียงกันมาก

เรามาเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบข้อมูลระบบโดยใช้คำสั่ง inxi ก่อน


เราได้ทำการเปรียบเทียบสั้นๆ ระหว่าง Raspberry Pi 500 พร้อม Bookworm และ Raspberry Pi 500+ พร้อม Trixie ได้ดังนี้

Raspberry Pi 500Raspberry Pi 500+หมายเหตุ / ความแตกต่าง
Model RevisionRev 1.0 (rev: d04190)Rev 1.0 (rev: e04190)เป็นรหัสใหม่กว่า
Kernel Version6.6.62+rpt-rpi-27126.12.47+rpt-rpi-2712Kernel ใหม่กว่า
OS / DistroDebian GNU/Linux 12 (Bookworm)Debian GNU/Linux 13 (Trixie)อัปเดตเป็น Debian 13
Architectureaarch64 (64-bit)aarch64 (64-bit)เหมือนกัน
Desktop EnvironmentLabWC (Wayland + XWayland 22.1.9)LabWC (Wayland + XWayland 24.1.6)รุ่นใหม่กว่า
CPUQuad-core Cortex-A76, 1.5–2.4 GHzQuad-core Cortex-A76, 1.5–2.4 GHzความเร็วเท่ากัน
CPU Cache (L2)2 MiB2 MiBเหมือนกัน
CPU Temp (Idle)58.4 °C42.1 °C↓ เย็นลง ~16.3 °C
Memory (RAM)8 GiB16 GiBเพิ่มเป็นสองเท่า
Storage DevicemicroSD 32 GB (mmcblk0)NVMe 256 GB (Samsung MZ9LQ256HBJD)เปลี่ยนจาก microSD → NVMe
Network (Wi-Fi / BT)Wi-Fi: RP1 (5 GHz) / BT 5.0 (bcm7271)Wi-Fi: RP1 / BT 5.0 (bcm7271)เหมือนกัน
Bluetooth Version3.05.0รุ่นใหม่กว่าใน Pi 500+

ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นไปตามที่คาดไว้ ยกเว้นอุณหภูมิขณะว่างที่ต่ำลง (อาจเกิดจากการปรับปรุงเฟิร์มแวร์หรือซอฟต์แวร์?) และเวอร์ชันของ Bluetooth ที่รายงานโดยยูทิลิตีซึ่งแตกต่างออกไป

มาทดสอบประสิทธิภาพกันโดยรันสคริปต์ sbc-bench.sh เพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพ ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง รวมถึงตรวจสอบประสิทธิภาพการระบายความร้อนของระบบด้วย


การเปรียบเทียบผลลัพธ์:

Raspberry Pi 500Raspberry Pi 500+Delta
memset12,165.9 MB/s9,715.3 MB/s-20.1 %
memcpy5,513.9 MB/s5,933.6 MB/s+7.6 %
7-zip11,050 MIPS11,740 MIPS+6.2 %
AES-256 16K1,368,140.46k1,367,916.54k-0.016 %
Max CPU temperature69.4°C63.9°C-5.5°C

นอกจากผลการทดสอบ memset ที่ทำได้ต่ำกว่าพอสมควรบน Pi 500+ (อาจเป็นเพราะหน่วยความจำ RAM ขนาด 16GB?) แล้ว ผลลัพธ์ในส่วนอื่น ๆ จะใกล้เคียงหรือดีกว่าเล็กน้อย (เช่นการเข้ารหัส AES) เมื่อเทียบกับ Pi 500 และอุณหภูมิของ CPU ก็ต่ำกว่า ซึ่งอาจเกิดจากการปรับปรุงเฟิร์มแวร์หรือซอฟต์แวร์ตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจากการออกแบบฮาร์ดแวร์โดยรวมแทบไม่ต่างกันเลย

ข้อได้เปรียบหลักของ Pi 500+ คือการรองรับงานแบบ multitasking ได้ดียิ่งขึ้น เพราะมาพร้อมกับ หน่วยความจำ RAM มากเป็นสองเท่า

การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการหนึ่งคือ SSD M.2 NVMe ดังนั้นมาทดสอบ SSD ในตัวด้วย iozone3 กัน:


ความเร็วอ่านประมาณ 440 MB/s และเขียนประมาณ 420 MB/s การทำงานถือว่าดีทีเดียว แม้ว่าจะหมายความว่า Raspberry Pi 500+ (คีย์บอร์ดพีซี) ยังคงทำงานในโหมด PCIe Gen2 เป็นค่าเริ่มต้นก็ตาม
เรามาลองสลับไปใช้โหมด PCIe Gen3 โดยเพิ่มบรรทัดต่อไปนี้ในไฟล์ /boot/firmware/config.txt ก่อนส่วน [cm4]:


มาดูกันว่าความเร็วในการรับส่งข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจริงหรือไม่


ความเร็วในการอ่านแบบลำดับ (sequential read) 865MB/s และการเขียนแบบลำดับ (sequential write) 812MB/s ถือว่าเป็นไปตามที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับระบบปฏิบัติการคือ การเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่ม (random I/O) ที่เร็วขึ้นจาก SSD ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม Raspberry Pi จึงยังคงตั้งค่าเริ่มต้นไว้ที่ PCIe Gen2

เรายังได้ลองท่องเว็บ ตรวจสอบอีเมล และเล่นวิดีโอจาก YouTube บน Raspberry Pi 500+ ซึ่งโดยรวมแล้วทำงานได้อย่างลื่นไหลและตอบสนองได้ดีทีเดียวสำหรับคอมพิวเตอร์ระดับเริ่มต้น

ทดสอบการใช้งานคีย์บอร์ด mechanical และ ไฟ RGB

นอกจาก SSD และ RAM 16GB แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดใน Raspberry Pi 500+ ก็คือ คีย์บอร์ด mechanical บริษัทมีรูปแบบแป้นพิมพ์ให้เลือกหลากหลาย แต่ตัวอย่างรีวิวของเราใช้รูปแบบ UK layout ซึ่งมี 85 ปุ่ม พร้อมสวิตช์ Gateron S-33 Blue แบบ low-profile แบบ Clicky ที่มีก้านสีเทา (custom grey stem)

clicky Gateron KS 33 switches grey Keycap

ก้านสวิตช์ของปุ่มคีย์บอร์ดนี้ใช้รูปแบบ กากบาท (cross-shaped) ซึ่งเข้ากันได้กับมาตรฐาน Cherry MX หรือปุ่มคีย์แคป (keycaps) ส่วนใหญ่ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ปุ่มคีย์แคปที่มีโปรไฟล์สูงเกินไป เช่น XDA, OEM หรือ SA เนื่องจากอาจชนขอบหรือทำให้เกิดเสียงดังเกินไป แนะนำให้ใช้ DSA หรือ Cherry Profile แทน ในชุดยังมีตัวถอดคีย์แคป (keycap puller) มาให้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถถอดปุ่มออกได้ง่าย ถ้าต้องการปรับเลย์เอาต์หรือเปลี่ยนคีย์แคป

การควบคุมไฟ RGB

Raspberry Pi 500+ ใช้ไฟ RGB Backlight และควบคุมได้ด้วเฟิร์มแวร์ Vial QMK มีไฟพื้นฐานที่เปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น เช่นไฟ LED ปุ่ม Power (แสดงเป็นสีแดงหรือเขียวตามสถานะการเปิด–ปิดเครื่อง), แอนิเมชันไฟรุ้งขณะบูตเครื่อง (สามารถปิดได้), ไฟแสดงสถานะ Caps Lock

และมาพร้อมกับโหมดไฟพื้นหลังที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า 7 แบบ โดยการกดคีย์ลัด Fn + F4

หมายเลขชื่อรายละเอียด
0Offไฟปิดทั้งหมด ยกเว้นปุ่ม Power และ Caps Lock
1Solid Whiteไฟสีขาวคงที่
2Solid Colourไฟสีเดียว ปรับสีได้ด้วย Fn + F3
3Gradient Left Rightสีรุ้งไล่จากซ้ายไปขวา
4Cycle Pinwheelสีรุ้งเคลื่อนไหวหมุนเป็นวง
5Typing Heatmapปุ่มที่พิมพ์บ่อยจะเรืองสีแดงมากขึ้น
6Solid Reactiveปุ่มสว่างเมื่อกด ปรับสีได้

คีย์ลัดควบคุมไฟ

  • เปลี่ยนสี: กด Fn + F3 เพื่อเลื่อนไปข้างหน้าในชุดสี (มีทั้งหมด 16 สี), กด Fn + Shift + F3 เพื่อเลื่อนย้อนกลับ
  • ปรับความสว่าง: กด Fn + F5 เพื่อลดความสว่าง, กด Fn + F6 เพื่อเพิ่มความสว่าง

นอกจากนี้การกด Fn + Shift + F5 จะ เพิ่ความสว่าง ในขณะที่ Fn + Shift + F6 จะทำให้ความสว่างลดลง

มาฟังเสียงคีย์บอร์ดขณะพิมพ์ สามารถดูวิดีโอด้านล่างได้ โดยคีย์บอร์ดอยู่ในโหมด Cycle Pinwheel

ยูทิลิตี rpi-keyboard-config

เพื่อความยืดหยุ่นมากขึ้น คุณสามารถใช้ ยูทิลิตี rpi-keyboard-config ผ่านบรรทัดคำสั่งได้ โดยสิ่งแรกที่เราต้องทำคือ อัปเกรดเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด “old firmware”


เรามารันคำสั่ง rpi-keyboard-config โดยไม่ใส่พารามิเตอร์ใด ๆ เพื่อดู ตัวเลือกทั้งหมดกัน:


คำสั่ง info แสดงข้อมูลเกี่ยวกับคีย์บอร์ด:


แสดงรายชื่อเอฟเฟกต์ RGB ทั้งหมดที่สามารถใช้ได้:


เราลองใช้ เอฟเฟกต์สุดท้าย (44: Pixel Fractal) ด้วยคำสั่งดังต่อไปนี้:


เราจะเห็นพารามิเตอร์บางตัวพร้อมค่าเริ่มต้น แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ดังนั้นยูทิลิตี้จึงให้ความยืดหยุ่นสูงสุด


มาลองใช้คำสั่งอื่น เช่น ตั้งความสว่างไฟแบ็คไลท์เป็น 80%


สามารถทำการรีแมปคีย์ได้เช่นกัน เราสามารถแสดงรหัสคีย์ทั้งหมด 575 รหัส! ได้:


และกำหนดค่าคีย์เฉพาะดังต่อไปนี้:


ตัวอย่าง: เราสามารถกำหนดค่าปุ่ม Enter (40) ใหม่บนแถวที่ 4 และคอลัมน์ที่ 1:


คืนค่าปุ่มเดิมทั้งหมด (รีเซ็ตคีย์แมป)


โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากหน้าคู่มือประกอบในเอกสาร Raspberry Pi 500+

สรุป

Raspberry Pi 500+ เป็นรุ่นอัปเกรดของ Raspberry Pi 500 keyboard PC โดยมาพร้อมคีย์บอร์ดแบบ mechanical ที่มีไฟ RGB, SSD NVMe ขนาด 256GB และ RAM ขนาด 16GB ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ และผลการทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมแทบไม่ต่างจากรุ่นเดิมมากนัก แต่ในทางปฏิบัติผู้ใช้จะสัมผัสได้ถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวลาทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เพราะมี SSD ที่เร็วขึ้นและหน่วยความจำมากกว่า

สิ่งที่ผู้ใช้ทั่วไปจะสังเกตเห็นได้ชัดที่สุดคือ คีย์บอร์ด mechanical พร้อมไฟ RGB ซึ่งสามารถเปลี่ยนปุ่มคีย์แคปได้ เพื่อปรับเลย์เอาต์ของแป้นพิมพ์ และยังสามารถปรับแต่งไฟ RGB ได้ ทั้งผ่านปุ่มฟังก์ชันบนคีย์บอร์ด และแบบละเอียดกว่านั้นผ่านคำสั่ง rpi-keyboard-config ในบรรทัดคำสั่ง เพียงแต่ค่อนข้างน่าแปลกใจที่ไม่มีโปรแกรมปรับแต่งแบบกราฟิก (GUI) มาให้ ทั้งที่จะมีในคีย์บอร์ด mechanic ทั่วไป

ส่วนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของ Raspberry Pi 500+ คือ ราคาที่ $200 (~6,500฿) ซึ่งถือเป็นฮาร์ดแวร์ Raspberry Pi ที่มีราคาสูงที่สุดจนถึงตอนนี้ โดยคาดว่าราคาที่สูงนี้ส่วนหนึ่งมาจากคีย์บอร์ด mechanical  ซึ่งโดยทั่วไปมักมีราคาประมาณ $100(~3,300฿) อยู่แล้ว เช่น Lofree Flow และ THIRDREALITY Smart Mechanical Keyboard MK1 ซึ่งราคาจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสวิตช์ที่ใช้ นอกจากนี้ Raspberry Pi 500+ ยังมีชุดคิทแบบครบชุด (Full Kit) ที่มีอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ครบ เช่น อะแดปเตอร์ไฟ, เมาส์, สาย micro HDMI to HDMI และอุปกรณ์อื่น ๆ ในราคาประมาณ $220 (~7,100฿)

ในประเทศไทยตอนนี้สามารถสั่งซื้อ Raspberry Pi 500+ ได้จาก Cytron thailand ในราคาเริ่มต้นที่ 7,850

บาท

Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments
โฆษณา